การผสานรวมเครือข่ายหลักของ BBU (Baseband Unit) หมายถึงการเชื่อมต่ออย่างไร้รอยต่อองค์ประกอบสำคัญของ BBU ในเครือข่ายการเข้าถึงวิทยุ (RANs) 4G/5G เข้ากับเครือข่ายหลัก ซึ่งช่วยให้การส่งข้อมูล การสื่อสารสัญญาณ และการจัดการเครือข่ายมีประสิทธิภาพ BBU ทำหน้าที่ประมวลสัญญาณฐานความถี่จาก RRU (Remote Radio Units) และติดต่อกับเครือข่ายหลักผ่านโปรโตคอลมาตรฐาน เช่น S1 (สำหรับ 4G) หรือ NG (สำหรับ 5G) ช่วยอำนวยความสะดวกในการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ผู้ใช้ (UE) และฟังก์ชันเครือข่ายหลัก (เช่น AMF, SMF ใน 5G) การผสานรวมนี้ต้องสร้างการเชื่อมต่อที่มีความจุสูงและมีความหน่วงต่ำ โดยทั่วไปใช้สายใยแก้วนำแสงหรืออีเทอร์เน็ตความเร็วสูง เพื่อรองรับปริมาณข้อมูลขนาดใหญ่จาก RRU หลายตัว โดยความต้องการแบนด์วิดธ์จะเพิ่มขึ้นตามจำนวนผู้ใช้งานและบริการที่เชื่อมต่อ (เช่น 5G NR รองรับได้สูงสุดถึง 20 Gbps ต่อ BBU) การซิงโครไนซ์มีความสำคัญอย่างยิ่ง: BBU พึ่งพา GPS หรือโปรโตคอลเวลาความแม่นยำสูง IEEE 1588 (PTP) เพื่อจัดระเบียบเวลาให้สอดคล้องกับเครือข่ายหลัก ทำให้การส่งสัญญาณในเซลล์ต่างๆ มีความสม่ำเสมอ การใช้เทคโนโลยีเสมือน (Virtualization) เป็นแนวโน้มสำคัญที่ผสานฟังก์ชันของ BBU (เช่น การประมวลผลฐานความถี่) เข้ากับโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายหลักแบบเสมือน (vBBU) ลดต้นทุนฮาร์ดแวร์ และช่วยให้จัดสรรทรัพยากรได้แบบไดนามิก การผสานรวมนี้สนับสนุนการแบ่งเครือข่าย (Network Slicing) ทำให้ BBU สามารถจัดลำดับความสำคัญของการจราจรข้อมูลในแต่ละสไลซ์ได้ (เช่น ความหน่วงต่ำสำหรับการเล่นเกม เทียบกับอัตราผ่านสูงสำหรับการสตรีมมิ่ง) ตามคำสั่งจากเครือข่ายหลัก ประโยชน์ที่ได้ ได้แก่ การลดความหน่วง (โดยลดจำนวนการกระโดดของข้อมูล) การจัดการเครือข่ายที่ง่ายขึ้นผ่านระบบ O&M (Operations and Maintenance) แบบรวมศูนย์ และการขยายตัวได้ดีขึ้นเพื่อรับมือกับความต้องการของผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้น ความท้าทาย ได้แก่ การรับประกันความเข้ากันได้ระหว่าง BBU รุ่นเก่าและเครือข่ายหลักสมัยใหม่ การจัดการการจราจรข้อมูลที่เพิ่มขึ้นโดยไม่ให้เกิดการติดขัด และการรักษาความปลอดภัยของอินเทอร์เฟซระหว่าง BBU และเครือข่ายหลักจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ การผสานรวมที่ประสบความสำเร็จถือเป็นสิ่งสำคัญในการปลดปล่อยศักยภาพเต็มที่ของ 5G จากการสื่อสารความเร็วสูงบนมือถือ (eMBB) ไปจนถึงการสื่อสารที่มีความน่าเชื่อถือสูงและความหน่วงต่ำมาก (URLLC)